วันอาทิตย์ที่ 26 มกราคม พ.ศ. 2557

การรักษาโรคเซ็บเดิร์ม


ก่อนจะไปดูวิธีการรักษาเจ้าโรคผิวหนังที่สร้างความรำคาญใจให้กับเราเป็นอย่างยิ่งที่ชื่อว่า เจ้า โรคเซ็บเดิร์ม นั้น แอดมินคงต้องขอบอกข่าวดีก่อนฮ่ะ ว่าไอ้เจ้าโรคนี้มันเป็นโรคที่รักษาไม่หายนะคะ T^T เรียกว่าใครที่เป็นแล้วก็มักจะเป็นเลย และอาการมันก็มักจะกลับมารบกวนการใช้ชีวิตปกติของเราบ่อย ๆ หากว่าเราไปได้รับปัจจัยกระตุ้นที่ร่างกายเรามันไวต่อสิ่งนั้น ๆ เข้า


แต่การรักษาไม่หาย ก็ไม่ได้หมายความว่าเราจะพยุงอาการหรือทำให้อาการของโรคนี้สงบลงไม่ได้ค่ะ ซึ่งบล็อกในตอนนี้ของเราจะมาดูขั้นตอนการรักษาให้อาการของโรคเซ็บเดิร์มดีขึ้นหรือสงบลงกันนะคะ

เมื่อเรารู้ตัวว่าเป็นโรคเซ็บเดิร์มหรือสงสัยว่าจะเป็นโรคเซ็บเดิร์มแล้วก่อนอื่นเราก็ควรจะไปพบแพทย์ค่ะ เมื่อไปถึงแพทย์จะทำการตรวจวินิจฉัยด้วยการดูอาการที่เป็นหรืออาจจะมีการขูดรอยโรคที่เป็นอยู่นั้นไปตรวจเพื่อค้นหาเชื้อรา(เนื่องจากเรามักจะพบว่าโรคเซ็บเดิร์มนั้นมักจะพบพร้อมอาการของเชื้อราบางชนิดอยู่ด้วย) ซึ่งหากแพทย์วินิจฉัยแน่นอนแล้วว่าเป็นโรคเซ็บเดิร์มก็จะทำการรักษาโดยใช้เวลาในการรักษาโรคที่กำเริบนี้ราว ๆ 1-3 สัปดาห์ (การรักษาโรคเซ็บเดิร์มควรจะทำเมื่อเริ่มมีอาการแรก ๆ หากปล่อยทิ้งไว้จนรุกลามหรือเป็นมากแล้วมักจะใช้เวลานานในการรักษา)

การให้ยาเพื่อรักษานั้น จะใช้เพียงระยะสั้น ๆ ฮ่ะ จุดประสงค์เพื่อประคับประคองตามอาการทั้งนี้ก็เพื่อลดอาการข้างเคียงของยาที่ใช้รักษานั่นเอง

ในตอนหน้าเรามาดูประเภทของยาที่ใช้ในการรักษาโรคเซ็บเดิร์มในแต่ละตำแหน่งของร่างกายกันนะคะ



ภาพประกอบจาก scarletnat.blogspot.com/2013/05/seborrhoeic-dermatitis-seb-derm-in.html
อ้างอิงข้อมูลจาก haamor.com/th/

วันเสาร์ที่ 25 มกราคม พ.ศ. 2557

การป้องกันโรคเซ็บเดิร์มกำเริบ


ช่วงนี้อากาศยังคงหนาวเย็นอย่างต่อเนื่องฮ่ะ นอกจากต้องผจญกับความแห้งของสภาพอากาศแล้ว แอดมินยังต้องเผชิญกับอาการของเซ็บเดิร์มที่กำเริบขึ้นมาเป็นระยะ ๆ ด้วย อ่ะ เรามาดูวิธีการป้องกันและรักษาโรคเซ็บเดิร์มกันนะคะ

หลาย ๆ คนที่อ่านบล็อกของแอดมินไป และมีอาการดังต่อไปนี้ คัน ผิวลอก แดง แสบ และมักจะเป็นเกือบทั้งปี คือกำเริบบ่อย ๆ โดยไม่ทราบสาเหตุตามบริเวณผิวหน้า,หลังกกหู,หนังศรีษะ หรือแม้่กระทั่งในรูสะดือ ให้สันนิษฐานไว้ก่อนเลยฮ่ะ ว่าคุณกำลังเจอกับอาการของโรคผิวหนังชนิดหนึ่งที่มีชื่อว่า "เซ็บเดิร์ม" เข้าให้แล้ว


เจ้าโรคนี้สร้างปัญหากับกับแอดมินมากมายฮ่ะ (ถึงแม้จะเป็นเพียงสองสามจุดเล็ก ๆ บนใบหน้าก็ตาม) อย่างเช่น การที่มันเกิดผื่นแดงแสบร้อนและมีอาการคันยิบ ๆ มันก็ทำให้นอนไม่ใคร่จะหลับ ผิวหนังก็ลอกเป็นขุยจนแลดูน่าเกลียด ทาแป้งก็ไม่ได้ ทาครีมโปะเข้าไปก็แสบ คราวไหนเป็นหนัก ๆ เข้า ถึงขนาดมีน้ำใส ๆ ไหลเยิ้มออกมาจากผิวบริเวณที่เป็นเลยทีเดียว T^T

การป้องกันอาการของโรคไม่ให้มาบังเกิดกับผิวเราซ้ำแล้วซ้ำอีก ก่อนอื่นก็คงต้องใช้วิธีพื้นฐานกันก่อนฮ่ะ นั่นก็คือ ควรสังเกตอาการกำเริบของโรค เช่น การเริ่มคันผิวบริเวณที่เคยเกิดเซ็บเดิร์ม ผิวหนังแห้งตึงหรือมีผื่นแดง ร้อนวูบวาบ มีสะเก็ดเกิดขึ้นในบริเวณที่เคยเป็น เมื่อพบว่ามีอาการกำเริบก็ให้รีบทายาควบคุมไว้แต่เนิ่น ๆ ฮ่ะ โดยใช้ยาเฉพาะทางในช่วงเวลาสั้น ๆ เพื่อให้อาการของโรคสงบลง จากนั้นจึงคอยระวังปัจจัยกระตุ้นต่าง ๆ ที่ทำให้เกิดโรค เช่น การอาการบาดเจ็บของผิวหนัง การ แคะ แกะ เกา ความชื้นและอากาศเย็นในสภาวะที่อากาศเปลี่ยนแปลง ความเครียด หรือการพักผ่อนไม่เพียงพอ การใช้ครีมที่มีส่วนผสมของแอลกอฮอร์หรือครีมที่ใช้แล้วระคายเคืองผิว ไม่ว่าจะเป็นโฟมล้างหน้า โฟมโกนหนวด โทนเนอร์ น้ำมันใส่ผม สเปย์ชนิดต่าง ๆ

นอกจากนี้แล้วยังต้องป้องกันการติดเชื้อแบคทีเรีย เชื้อราซ้ำซ้อนในบริเวณที่เกิดโรคด้วยนะคะ ต้องไม่แคะแกะเกา หรือถู,ลอกผิวหนังบริเวณนั้น ๆ และควรตัดเล็บให้สั้น รักษาความสะอาดของเล็บและมืออยู่เสมอ

นอกจากดูแลเรื่องความสะอาดและการหลีกเลี่ยงปัจจัยเสี่ยงแล้ว งานวิจัยบางชิ้นยังบอกว่า หากเราสามารถออกกำลังกายกลางแจ้งเบา ๆ อย่างเพียงพอ ก็จะช่วยให้อาการของเซ็บเดิร์มสงบลงได้ค่ะ แต่หากว่าทำทุกวิธีแล้ว อาการของโรคยังไม่ทุเลา หรือมีอาการรุนแรงขึ้น ก็ควรรีบไปพบหมอเพื่อวินิจฉัยและรับยามาใช้รักษาเป็นขั้นต่อไปน่ะนะคะ

ในตอนหน้าของบล็อก เราจะมาดูวิธีรักษาและบรรเทาอาการของโรคเซ็บเดิร์มเมื่อมีอาการกำเริบรุนแรงจนรักษาด้วยตัวเองไม่หายหรือไม่ดีขึ้นกันค่ะ แล้วกลับมาพบกันได้ใหม่ในครั้งหน้านะคะ



ภาพประกอบจาก http://hardinmd.lib.uiowa.edu/dermnet/seborrheicdermatitis22.html








วันอังคารที่ 14 มกราคม พ.ศ. 2557

สาเหตุของการเกิดโรคเซ็บเดิร์ม หรือโรคผิวหนังอักเสบ


เมื่อเราไม่สามารถหาสาเหตุที่แท้จริงของโรคเซ็บเดิร์มได้ ทางการแพทย์จึงได้สันนิษฐานเพื่อรวบวรวมสาเหตุของการเกิดของโรคนี้จากรายงานการวิจัยไว้หลายข้อด้วยกัน ได้แก่

1. สาเหตุของโรคเซ็บเดิร์ม อาจจะเกิดกับผู้ที่มีผิวมันมากกว่าคนผิวแห้ง เนื่องจากตำแหน่งที่เกิดโรคนั้น อยู่ในตำแหน่งที่มีปริมาณและการทำงานของต่อมไขมันมาก อย่างเช่น ในรูหู ในสะดือ ตามซอกจมูก คิ้ว หลังหู หนังศรีษะ เป็นต้น และไขมันที่เป็นตัวปัญหานั้นก็ยังมีส่วนประกอบของชนิดของไขมันย่อยที่มีสัดส่วนต่างไปจากสภาพผิวของผู้ที่ไม่เป็นโรค อีกประการหนึ่ง โรคเซ็บเดิร์มนั้นนอกจากจะพบในผู้ใหญ่วัยเจริญพันธุ์แล้ว ยังสามารถพบในเด็กทารกอายุก่อน 3 เดือนที่มีต่อมไขมันโตและทำงานมากได้เช่นกัน แต่อาการจะทุเลาและหายไปและจะเกิดขึ้นอีกครั้งในช่วงเป็นวัยรุ่นที่ต่อมไขมันเริ่มทำงานหนักขึ้น และอาการอาจจะเพิ่มมากที่สุดในช่วงอายุ 40-50 ปี


2. สาเหตุของโรคเซ็บเดิร์ม อาจจจะเกิดจากเชื้อราชื่อ Malasse zia ซึ่งเป็นเชื้อราชนิดที่ชอบไขมัน ซึ่งพบได้ปกติบนผิวหนังทั่วไปของเรา จากการวิจัยศึกษาโดยผู้เชี่ยวชาญได้ค้นพบว่า การใช้ยาำจัดเชื้อรา สามารถลดอาการของโรคลงได้ดี ดังนั้น เชื้อราชนิดนี้จึงน่าจะเกี่ยวพันธุ์กับสาเหตุการเกิดโรคเซ็บเดิร์ม โดยมีข้อสันนิษฐานกันว่า ไอ้เจ้า เชื้อรา Malasse zia นี้ มันผลิตเอนไซม์ออกมาย่อยไขมันบนผิวหนัง และกระตุ้นให้เกิดกลไกการอักเสบของผิวขึ้น


3. นอกจากสาเหตุสองข้อข้างต้นแล้ว ยังมีสาเหตุและปัจจัยอื่นๆ ที่พบว่า อาจเพิ่มโอกาสหรือกระตุ้นการการเกิดเซบเดิร์มได้เช่นกัน แต่ยังไม่ทราบกลไกแน่ชัด เช่น การบาดเจ็บแบบต่าง ๆ ของผิวหนัง ไม่ว่าจะเป็นการขัดถูผิวหนัง การเกาจนผิวถลอก การเปลี่ยนแปลงสภาพอากาศ การเปลี่ยนฤดู ควาื้มชื้นในอากาศที่ต่ำลง ความเครียด พักผ่อนไม่เพียงพอ การใช้สารเคมีรุนแรงกับใบหน้า (พบว่าโรคเซบเดิร์ม มักมีอาการแย่ลงในฤดูหนาวที่มีอากาศเย็น และมีความชื้นในอากาศต่ำ)ซึ่งสาเหตุต่าง ๆ เหล่านั้น เป็นปัจจัยสำคัญที่จะเป็นตัวกระตุ้นให้อาการของโรครุนแรงขึ้นได้


4. แพทย์มักจะพบอัตราการเกิดเซบเดิร์มเพิ่มขึ้นในผู้ป่วยที่เป็นโรคเกี่ยวกับระบบประสาทเช่นกันค่ะ เช่น ่พบอาการของโรคนี้ในผู้ป่วยที่เป็นโรคพากินสัน หรือผู้ป่วยมีประวัติได้รับอุบัติเหตุที่สมอง รวมไปถึงยังพบว่า โรคเซ็บเดิร์มนั้นเกิดขึ้นในคนที่มีภาวะภูมิคุ้มกันต้านทานโรคบกพร่อง เช่น โรคเอดส์ (HIV) อีกด้วย

ในตอนหน้าของบล็อก เราจะมาดูวิธีดูแลตัวเอง,การป้องกันและรักษาโรคเซ็บเดิร์มกันนะคะ แล้วกลับมาพบกันได้ใหม่ในครั้งหน้าค่ะ



ภาพประกอบจากอินเตอร์เน็ต





วันอาทิตย์ที่ 12 มกราคม พ.ศ. 2557

หรือจะเป็นเซ็บเดิร์ม


เมื่อหลายวันก่อน อิชั้นนำเอาเรื่องราวความผิดปกติของผิวตัวเองมาเล่าให้ฟังน่ะนะคะ ว่าจู่ ๆ ผิวบริเวณใต้จมูกเหนือริมฝีปากบนและใต้ริมฝีปากล่างฝั่งซ้าย จู่ ๆ ก็เกิดอาการ แดง ตึง คัน แห้ง แตก ลอก แถมยังมีชั้นผิวขาว ๆ แห้งกรังเป็นแผ่นคลุมอยู่บนบริเวณที่เป็นจนน่าเกลียดอีกด้วย

หะแรกอิชั้นก็คิดอยู่ว่า อาการผิดปกติเช่นนี้ต้องเกิดจากการที่ผิวบนใบหน้าต้องเผชิญกับอาการมีตัวไรฝุ่นซึ่งทวีจำนวนมากขึ้นอย่างผิดปกติแหงเลย ซึ่งก็นะ หากเป็นตัวไรฝุ่นจริงก็คงต้องรีบหาหมอเพื่อที่จะรักษาให้หายหรือบรรเทาอาการลงโดยเร่งด่วน เพราะตอนนั้นมันวิกฤติสุด ๆ ละ กลางวันก็คัน แสบร้อนผิวจนแทบจะอยู่ไม่ได้ ส่วนกลางคืนก็ยิ่งแล้วใหญ่ เพราะมันอยากแต่จะเกา ๆ ๆ แกะ ๆ ๆ ผิวแห้งแดงร้อนวาบ ๆ อยู่ตลอดเวลาเหมือนมันกำลังอักเสบใต้ชั้นผิวอย่างเต็มพิกัด

กำลังคิดจะไปหาหมอแน่ ๆ อยู่ทีเดียวฮ่ะ เผอิ้นนน..ว่าช่วงจังหวะที่รอเวลาว่างของตัวเองที่จะไปพบหมอ อิชั้นก็ดันค้นดั้นด้นหาวิธีการรักษาอาการที่เป็นไปเรื่อย ๆ ในอินเตอร์เน็ตจนกระทั่งมาเจอกับลักษณะอาการที่คล้่ายคลึงกับที่ตัวเองเป็น ใน"โรคผิวหนัง" อีกชนิดเข้าซะก่อน


"โรคเซ็บเดิร์ม" ก็คืิอโรคผิวหนังชนิดนั้นค่ะ

โรคเซ็บเดิร์ม คือ โรคอะไร,มีสาเหตุจากไหน,ลักษณะอาการอย่างไร,รักษาหายมั้ย และมีวิธีการรักษาอย่างไร แล้วไอ้ที่อิืชั้นเป็นอยู่นี่ มันคือโรคเซ็บเดิร์มรึเปล่า เดี๋ยวเรามทะยอยทำความรู้จักกับไอ้เจ้าโรคนี้กันนะคะ

อันดับแรกที่เราจะมาคุยและสืบค้นข้อมูลไปพร้อม ๆ กัน นั่นก็คือ โรคเซ็บเดิร์ม (Seborrheic Dermatitis) คือโรคอะไร โรคเซ็บเดิร์มนั้น มีชื่อเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า "โรคผิวหนังอักเสบ" ค่ะ ซึ่งโรคนี้จัดอยู่ในกลุ่มโรคภูมิแพ้ผิวหนังซึ่งแม้ว่ายังไม่ทราบสาเหตุการเกิดอย่างแน่ชัด แต่เป็นโรคผิวหนังเรื้อรังไม่ติดต่อที่อยู่ในกลุ่มเดียวกับโรครังแคและโรคสะเก็ดเงิน (ปัจจุบันนี้แพทย์ได้ตั้งข้อสันนิษฐานว่า สาเหตุของการเกิดโรคน่าจะมาจากเชื้อรา,เชื้อยีนสฺ์ หรือกรดไขมันจำเป็นบางชนิดภายในร่างกายน่ะนะคะ)

โรคเซ็บเดิร์มนั้นเกิดขึ้นกับคนวัยไหนบ้าง โรคนี้เกิดขึ้นได้กับคนทุกวัยค่ะ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในวัยเจริญพันธุ์ พบได้บ่อยในผู้ที่มีผิวมันและผู้ที่มีภูมิคุ้มกันหรือมีภูมิต้านทานโรคบกพร่อง เช่น โรคเอดส์ ดังนั้นผู้ป่วยที่มีอาการของโรคเซ็บเดิร์มอย่างรุนแรง และมีปัจจัยเสี่ยงในการติดเชื้อเอชไอวี HIV ก็ควรที่จะต้องได้รับการตรวจหาเชื้อ HIV ร่้วมด้วยเสมอ

ในตอนหน้าของบล็อกเราจะมาล้วงลึกถึงข้อสันนิษฐานของการเกิดโรคเซ็บเดิร์มกันนะคะ แล้วกลับมาพบกันได้ใหม่ในครั้งหน้าค่ะ



ภาพประกอบจาก http://scarletnat.blogspot.com/2013/05/seborrhoeic-dermatitis-seb-derm-in.html





วิธีล้างหน้าตาแนวโพรงขน


ในตอนที่แล้วของบล็อกอิชั้นได้นำเอาข้อมูลที่น่าสนใจเกี่ยวกับประโยชน์ในการล้างหน้าตามแนวโพรงขน แทนการล้างหน้าแบบเดิมๆ ทีีใช้วิธีการนวดและวนบนใบหน้าน่ะนะคะ

ตามการวิจัยของเจ้าของทฤษฎีและตามคำยืนยันจากผู้ที่ได้ทดลองใช้วิธีการล้างหน้าตามแนวโพรงขนนั้น ปรากฎว่า วิธีนี้ได้ผลดีในเรื่องของความสะอาดของผิวหน้ามากกว่าการล้างหน้าแบบนวดวนไปมาแบบดั้งเดิมเสียอีก และเมื่อใบหน้าสะอาดหมดจด ก็จะช่วยให้ผิวเกิดสิวจากสิ่งสกปรกและการอุดตันน้อยลง และแน่นอนฮ่ะ ว่าเมื่อสิวน้อยลงเราก็ไม่จำเป็นต้องไปเฟ้นหาสารเคมีที่มีฤทธิ์แรงในการปราบสิวมาใช้ ถือเป็นการช่วยให้ผิวผจญกับมลภาวะต่าง ๆ ภายนอกร่างกายน้อยลงอีกด้วย แม้ว่าจะเป็นวิธีที่ช่วยลดสิวได้ดี แต่วิธีนี้ก็อาจจะต้องใช้เวลาสักระยะ (หลาย ๆ คนเห็นผลในเดือนที่ 3 และอีกหลายคนเห็นผลในเดือนที่ 6 ว่าเกิดสิวอุดตันน้อยลงอย่างเห็นได้ชัด)

คุยถึงเรื่องประโยชน์ของการล้างหน้าวิธีนี้กันมาก็มากแล้ว เรามาดุวิธีการล้างหน้าตามแนวโพรงขนกันดีกว่าค่ะ ว่าเค้ามีขั้นตอนและวิธีการอย่างไรบ้าง

อันดับแรก ก่อนที่เราจะล้างหน้าตามแนวโพรงขนได้ถูกวิธี เราก็ควรรู้จักทิศทางของขนบนใบหน้าเราก่อนค่ะ


จากภาพตัวอย่างด้านบน จะเห็นได้ว่าแนวขนของเรามีทิศทางที่ชี้ไปในทิศทางที่ต่างกันน่ะนะคะ นั่นก็คือ ขนบริเวณหน้าผากจะแบ่งออกเป็นสองซีกทั้งซ้ายและขวาตามภาพ ส่วนแนวจมูก-คาง จะมีทิศทางที่ชี้ลงด้านล่าง สำหรับบริเวณแก้มทั้งสองข้าง ทิศทางของขนจะชี้โค้งลงตามภาพตัวอย่าง ดังนั้นเมื่อเราจะล้างหน้าตามแนวขน เราก็ต้องยึดทิศทางที่ขนบนใบหน้าเราชี้ไปเป็นหลัก

ขั้นตอนของการล้างหน้าตามแนวโพรงขนก็ง่าย ๆ ค่ะ นั่นก็คือ
  1. ทำหน้าให้เปียก
  2. บีบครีมโฟม,สบู่ ที่ใช้แล้วไม่แพ้ลงบนฝ่ามือ ขยี้ให้เกิดฟอง จากนั้นจึงลูบเนื้อโฟมหรือเนื้อสบู่ไปตามแนวขนบนใบหน้าอย่างเบามือ โดยบริเวณหน้าผากให้ใช้ปลายนิ้วค่อย ๆ ลูบออกด้านข้างทั้งสองด้าน บริเวณจมูกและคาง ให้ลูบลง ส่วนบริเวณแก้มทั้งสองด้านให้ลูบในลักษณะโค้งลงตามภาพตัวอย่าง
  3. ล้างครีมโฟมหรือสบู่บนใบหน้าให้สะอาดหมดจด (ควรใช้วิธีวักน้ำล้างอย่างเบามือ)
  4. ซับหน้าให้แห้งแล้วทาครีมบำรุงที่ใช้ได้เลยค่ะ (เวลาทาครีม ควรทาตามแนวโพรงขนด้วยนะคะ ท่องจำเอาไว้ว่าจะทาหรือเช็ดอะไรทุกอย่างบนใบหน้าต้องทำอย่้างเบามือ และทำตามแนวโพรงขนเท่านั้น)
จากการที่มีผู้ทดลองใช้วิธีล้างหน้าตามทฤษฎีนี้ ได้ผลเป็นบวก ส่งผลให้ผิวแลดูสะอาด,ลดสิว,ผิวมันได้ค่อนข้างดีเลยทีเดียวค่ะ แม้ว่าต้องใช้เวลามากกว่าการใช้ครีมหรือสารเคมีใด ๆ เพื่อกำจัดสิว แต่ก็ได้รับคำยืนยันว่าในระยะยาว ผิวจะเกิดสิวน้อยลงตามลำดับ และยังส่งผลให้ผิวมีสุขภาพดีขึ้นได้ด้วยโดยไม่ต้องลงทุนไปกับครีมแพง ๆ เพิ่มเติมแต่อย่างใด

ก็หวังว่าเพื่อน ๆ สมาชิกทุกคนที่แวะเวียนเข้ามาอ่านบล็อกนี้คงได้รับประโยชน์และได้ทดลองนำไปใช้บ้างน่ะนะคะ แล้วพบกันได้ใหม่ในครั้งหน้าค่ะ



ภาพประกอบจาก beautybyvasane.com




วันเสาร์ที่ 11 มกราคม พ.ศ. 2557

ประโยชน์ของการล้างหน้าตามแนวโพรงขน


อ่านชื่อตอนของบล็อกแล้ว หลายคนขมวดคิ้วฮ่ะ..อือ์ม..ปกติแล้วเราก็เคยเห็นและเคยได้ยินคำโฆษณาหรือคำแนะนำในการล้างหน้าจากผลิตภัณฑ์ต่าง ๆ ในท้องตลาดกันน่ะนะคะ ว่าเวลาบ้างให้นำโฟม หรือสบู่ มาถูวน ๆ นวด ๆ บนใบหน้า เพื่อให้ผิวหน้าที่ได้รับการชำระล้างสะอาดหมดจดอย่างเพียงพอ แต่กระนั้นก็ตาม ช่วงหลัง ๆ หลังจากที่อิชั้นคร่ำหวอดอยู่กับการ search หาข้อมูลเพื่อรักษาปัญหาผิว สิว แห้ง แสบ แดง ลอก คัน (ครบเลยมิ) ของตัวเองอยู่ อิชั้นก็ดันค้นปุ๊ไปเจอไอ้เจ้าทฤษฎีล้างหน้าตามแนวโพรงขนนี้เข้าให้

การล้างหน้าตามแนวโพรงขนคืออะไร มันดีกว่าการล้างหน้าชนิดลูบ ๆ วน ๆ นวด ๆ ให้ทั่วใบหน้าเหมือนที่บรรดากูรูความงามรวมไปถึงผลิตภัณฑ์ต่้าง ๆ แนะนำอย่างไร วันนี้เราจะมาแนะนำประุโยชน์และวิธีการล้่างหน้าตามทฤษฎีนี้ให้ฟังกันค่ะ


ทฤษฎีการล้างหน้าตามแนวขนหรือตามแนวโพรงขนนี้ ได้ถูกคิดค้นโดย นพ.สมนึก อมรสิริพาณิชย์ ฮ่ะ ซึ่งคุณหมอได้ให้ข้อมูลเอาไว้สรุปได้คร่าว ๆ ว่าเนื่องจากโพรงขนบนใบหน้านั้นมีมากถึงประมาณ 1 แสนโพรง และโพรงขนนั้นมีความสำคัญกับผิวเป็นอย่างมาก โดยจะเป็นแกนให้กับใยคอลลาเจนและอิลาสตินมายึดโยงเพื่อเชื่อมเป็นเครือข่าย ซึ่งหากมีการเชื่อมโยงยึดเกาะกันได้ดี สภาพผิวหนังก็จะมีความยืดหยุ่นและแข็งแรงอย่างที่ควรจะเป็นและเป็นอยู่

การล้างหน้าตาแนวโพรงขนดีอย่างไร

การล้างหน้าตามแนวโพรงขนนั้น จะช่วยให้เราสามารถล้างสิ่งสกปรกและน้ำมันที่อยู่ในโพรงขนได้อย่างหมดจด ช่วยให้มีการผลัดเซลล์ผิวที่เสื่อมสภาพแล้วด้านนอกออกไปได้ดีโดยไม่ต้องขัดถูรุนแรง เพิ่มการไหลเวียนของเลือดให้ผิวหนังให้เป็นไปอย่างธรรมชาติ และทำให้เซลล์ผิวหนังที่อักเสบไม่เกิดการบวมของชั้นผิวบางชั้น ที่สำคัญก็คือวิธีนี้นอกจากจะดีสำหรับคนที่ไม่มีปัญหาผิวพรรณใด ๆ แล้ว ยังดีมากสำหรับคนที่มีปัญหาสิวอุดันด้วย เนื่องจากการล้างหน้าแบบเดิมที่ใช้การนวดวน ๆ หรือเอามือไปถูหน้าแบบไม่มีทิศทาง ด้วยหวังว่ามันจะทำให้ผิวสะอาด กลับกลายเป็นการถูให้เนื้อเยื่อจับตัวเป็นก้อน แล้วไปอุดตันอยู่ตามรูขุมขน (เหมือนเราปั้นกระดา่ษเป็นก้อนแล้วห่อเป็นชั้น ๆ แล้วไอ้ก้อนเหล่านี้ก็ดันไปอุดตันอยู่ตามรูขุมขนนั่นล่ะ) ซึ่งหากเราล้างหน้าไปตามแนวโพรงขน เนื้อเยื่อเหล่านี้จะสลายและหลุดออกมาได้เองตามธรรมชาติน่ะนะคะ

ดังนั้นการล้างหน้าตามแนวโพรงขนจึงมีผลทางด้านการเพิ่มความสะอาดของผิว ลดการเกิดสิวอุดตันได้โดยไม่ต้องใช้ผลิตภัณฑ์,สารเคมี ที่จะทำร้ายผิวไปมากกว่าเดิม ซึ่งในตอนหน้าของบล็อก เราจะมาดูวิธีการล้างหน้าตามแนวโพรงขนกันนะคะ


 ภาพประกอบจาก naturalnewsabc.com

วันพฤหัสบดีที่ 9 มกราคม พ.ศ. 2557

วิธีรักษาตัวไรขนบนใบหน้า


หลาย ๆ คนที่อ่านบล็อกอิชั้นไปเมื่อ 2 ตอนที่แล้ว พออ่านปุ๊บอาจจะนึกคันยุบยิบไปตาม ๆ กัน เนื่องจากอิชั้นเอาข้อมูลจากบทความทางการแพทย์มาให้ดู ว่าจริง ๆ แล้วไอ้ตัวไรขนเนี่ย มันอาศัยอยู่บนผิวของทุกคนนั่นแหละ แต่เพราะเกิดสถานการณ์ไม่ปกติกับผิวของเราบางอย่าง เช่น การรบกวนผิวมากเกินไป หรือภาวะที่ภูมิคุ้มกันของร่างกายลดลง หรือแม้กระทั่งเป็นเพราะตัวเจ้าของพื้นที่เองที่แพ้ตัวไรฝุ่้นหรือไรขน เอาเป็นว่าเมื่อมันก่อให้เกิดปัญหากับผิวเราหลายประการ ไม่ว่าจะเป็น อาการคันยุบยิบ,ผื่่นแดง,ผิวแห้ง ลอก ที่สำคัญทำให้เกิดสิวได้อีก เพื่อสุขภาพและความงามเราก็คงต้องหาวิธีรักษามันกันน่ะนะคะ


อย่างที่บอกไปเมื่อครั้งก่อน ว่า จริง ๆ แล้วอิชั้นก็ไม่ได้ไปหาหมอเพื่อฟันธงหรอกฮ่ะ ว่าตัวเองเป็นโรคแพ้ไรฝุ่นหรือเป็นไรขนบนใบหน้าจริง แต่ให้ตายเถอะโรบิ้น !! ไอ้สารพัดอาการที่มันมีสาเหตุมาจากตัวไรขนอ่ะ อิชั้นมีทั้งน้าน..ไม่ว่าจะเป็นอาการคันยุบยิบ,แสบ,ตึง,แดง,ลอกหรือแม้แต่สิว T^T แต่ที่ไม่แน่ใจก็คือ คนที่เป็นโรคมีไรขน(เยอะเกิน) บนใบหน้านั้น จะมีอาการคันยุบยิบก็แต่เฉพาะตอนที่ผิวหน้ามีน้ำมันออกมาเคลือบเท่านั้น ประมาณว่าพอมีน้ำมันผลิตออกมาป๊าบ..ไอ้เจ้าตัวไรก็ออกมาคลานยุบยิบกินน้ำมันจัดปาร์ตี้บนพื้นที่หวงห้ามกันทันที แต่อิชั้นเล่นคันมันทั้งวัน,แสบร้อนผิวจุดที่มีปัญหาทั้งวัน,ผิวแห้งจนลอกเป็นสะเก็ดขาว ๆ ทั้งวัน (ลักษณะเป็นชั้นผิวแห้งขาว ๆ คลุมบริเวณที่แสบร้อน) อันนี้แหละที่ทำให้ไม่แน่ใจว่าตัวเองเป็นโรคไรขนสักเท่าไหร่ แต่อย่ากระนั้นเลย เรามาดูเคสที่คนเค้าเป็นโรคนี้และวิธีรักษากันนะคะ

วิธีรักษาไอ้เจ้าตัวไรขนบนใบหน้าสำหรับเคสที่มีคนเป็นแล้วไปหาหมอ ก็จะคล้าย ๆ กันค่ะ คือคุณหมอจะให้ยามาสองขนาน ได้แก่ยากินและยาทา สำหรับยากินนั้นมักจะใช้ยาในกลุ่ม Ivermectrin และยาทานั้นก็ใช้เพื่อควบคุมจำนวนไรขน ซึ่งจะเป็นยาจำพวกเดียวกับที่ใช้รักษาโรคหิด เช่น 5% Permethrin , metronidazole gel , 10% sulphur , Lindane , 10% crotamiton , 10% Benzyl benzoate etc. ซึ่งการจะหายช้าหรือหายเร็วนั้น ก็ขึ้นอยู่กับว่าคุณปฏิบัติตามวิธีรักษาของแพทย์อย่างเคร่งครัดหรือไม่ (อ้างอิงจาก rcskinclinic.com)

อีกวิธีหนึ่งซึ่งเป็นวิธีที่ค่อนข้างจะง่ายกว่าวิธีแรกค่ะ เราไม่จำเป็นต้องไปหาหมอด้วยซ้ำ เพราะปกติไอ้เจ้าตัวไรขนนี้มันก็มีอยู่บนใบหน้าเราเป็นธรรมชาติอยู่แล้ว แต่เราต้องตัดวงจรการแพร่พันธุ์ที่มากเกินไปของตัวไรขน ซึ่งขอบอกว่ามันขยายพันธุ์ได้รวดเร็วและมากมายมหาศาลจริง ๆ นั่นก็คือ การเปลี่ยนวิธีการล้างหน้าเสียใหม่ค่ะ วิธีการล้างหน้าที่ถูกต้องที่จะช่วยให้จำนวนตัวไรขนลดลงก็คือ การล้างหน้าตามโพรงขน นั่นเองเพราะการล้างหน้าตามโพรงขน จะช่วยขจัดตัวไรฝุ่นได้ดีและทำให้ตัวไรขนที่ผสมพันธุ์แล้วกลับไปวางไข่ในรูขุมขนยากขึ้น ข้อสังเกตุก็คือหากเราล้างหน้าวน ๆ ล้างหน้าย้อนโพรงขน ก็จะทำให้โพรงขนของเราบิดเบี้ยว ทำให้วงจรชีวิตของไรต้องติดแหง็กอยู่ในนั้น แถมซากของมันก็ทับถมกันอยู่บนผิวหน้าเรามากขึ้นโดยไม่ได้ถูกขจัดออก สำหรับคนที่สนใจข้อมูลเพิ่มเติม สามารถหาอ่านได้ที่ http://www.netanart.com/content.php?cate=article&iden=208 นะคะ

ข้อสำคัญก็คือการรักษาความสะอาดบนใบหน้าและรบกวนผิวหน้าให้น้อยที่สุดค่ะ หากมีสัตว์เลี้ยงก็พยายามอย่าเอาหน้าไปคลุกคลีกับขนสัตว์ (อิชั้นเลี้ยงแมว ชอบเอาหน้าไปถูไถ จุ๊บเหม่ง จุ๊บตะหมูกแมวบ่อย ๆ >.<) เอาเป็นว่าพยายามหาเรื่องไปติดไรมาจากสัตว์เลี้ยงด้วยอีกทางหนึ่ง

ในตอนหน้าของบล็อกอิชั้นจะพาทุกคนไปดูวิธีการล้างหน้าตามแนวขน หรือล้างหน้าตามแนวโพรงขนกันค่ะ







วันพุธที่ 8 มกราคม พ.ศ. 2557

สาเหตุของการเกิดโรคตัวไรขนบนใบหน้า


บล็อกในตอนนี้ของอิชั้นจะว่ากันเรื่องสาเหตุของการเกิดโรคตัวไรขนบนใบหน้าน่ะนะคะ จริง ๆ แล้วอิ่ตอนที่ค้นข้อมูล อิชั้นก็ยังคิดว่าตัวเองเป็นโรคนี้อยู่หรอก เพราะอาการของโรคเข้าแก๊ปทุกอย่างเลย ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของการมีอาการ แสบ คัน ผิวหนังแห้ง แดง ลอกเป็นแผ่น ขาดอยู่อย่างเดียวเท่านั้นที่ตัวเองยังไม่มีอาการก็คือไอ้อาการหอบหืดที่เกิดจากไรฝุ่น

ทีนี้พอสงสัยว่าตัวเองจะแพ้ไรฝุ่น หรือมีไรขนบนใบหน้าเยอะเกินกว่าที่ร่างกายจะรับไหว ก็เลยดั้นด้นหาข้อมูลจากอากู๋ต่อฮ่ะ แล้วก็พบว่า มีคนเป็นโรคนี้เยอะอยู่พอสมควร และแต่ละคนก็ทุ่มทุนสร้าง รักษากันอย่างถึงพริกถึงขิง ดังนั้นก่อนที่เรามาจะไปดูแนวทางรักษาที่เค้าเคลมกันว่าได้ผล เรามาดูสาเหตุของการเกิดโรคนี้กันก่อนนะคะ


ไอ้เจ้าตัวไรขนหรือไรฝุ่นนี้จะว่าไปแล้วก็ถือว่าเป็นปรสิตที่กินพวกผิวหนังที่ตายแล้วและไขมันจากต่อมไขมันของคนเป็นอาหารค่ะ จากการวิจัยของผู้เชี่ยวชาญพบว่าเจ้าตัวแสบนี้มักพบได้ในผู้หญิงมากกว่าผู้ชาย และมักจะพบว่ามันเป็นเพื่อนบ้านที่ไม่พึงประสงค์ได้ในทุกคน ที่ออกจะเป็นข้อมูลที่น่ากลัวก็คือ เจ้าตัวไรขนนี่มันมีความสามารถในการขยายพันธุ์ที่สูงมาก โดยมันจะขยายพันธุ์ได้ทุก ๆ 2 สัปดาห์ เวียน ว่าย ตาย เกิด จนทำให้ผิวของเราไม่เคยว่างเว้นจากตัวไรขนเลยว่างั้นเถอะ

ค้นลึกลงไปอีกหน่อยจะพบว่า จริง ๆ แล้วไรที่พบในมนุษย์นั้นมี 2 สายพันธุ์ด้วยกันฮ่ะ และทั้งสองสายพันธุ์ก็สามารถก่อให้เกิดโรคได้เหมือนกัน นั่นก็คือไรที่มักอาศัยอยู่ในรูขุมขน และไรที่อาศัยอยู่บริเวณต่อมไขมัน (เพื่อนบ้านกันว่างั้นเหอะ) 

ว่ากันว่าปกติแล้วพวกมันก็รักสงบดีแหละค่ะ ถ้ามนุษย์ไม่ไปก่อกวนให้มันขาดสารอาหาร หรือผิวเราเกิดขาดความสมดุลจนทำให้ประชากรของมันแพร่พันธุ์มากจนเกินพอดี

ข้อมูลจาก web หนึ่งชี้ปัญหาผิวที่เกิดจากการมีไรขน,ไรฝุ่นบนใบหน้าทั้งสองสายพันธุ์ว่า ไอ้เจ้าไรฝุ่นที่อาศัยในรูขุมขน มันจะสามารถไชเข้าไปตามรูขุนขน ดูดกินสารอาหารบริเวณรากขนทำให้รูขุมขนเกิดการขยายกว้างและเกิดการอักเสบขึ้น ซึ่งจะส่งผลตามมาคือการเกิดขนร่วงหรือผมร่วง,เกิดการอักเสบของเนื้อเยื่อบริเวณรอบ ๆ รูขุมขน

ส่วนเจ้าตัวไรขนอีกสายพันธุ์นึงที่อาศัยอยู่ในบริเวณต่อมไขมัน มันก็กินอาหารจากต่อมไขมันนั่นแหละฮ่ะ ซึ่งก็จะส่งผลให้ผิวเกิดการระคายเคืองและอักเสบได้เช่นกัน ซึ่งผลของการติดเชื้อไรทั้งสองชนิดนี้ ก็จะทำให้ผิวของเรามีการอุดตัน เกิดการอักเสบชนิดผื่นแดง ผิวมีลักษณะขรุขระ รูขุมขนกว้าง ที่เรียกว่า แอคเน่ โรซาเซีย (Acne Rosacea) ซึ่งความรุนแรงในผู้ป่วยแต่ละรายจะไม่เท่ากัน แต่ก็อา่จก่อให้เกิดปัญหารุนแรงได้ หากไม่มีการรักษาที่ถูกวิธีน่ะนะคะ

ในตอนหน้าของบล็อกเราจะมาดูวิธีการรักษาโรคไรขนบนใบหน้ากันค่ะ





โรคตัวไรขนบนใบหน้า


เมื่อตอนที่แล้วอิชั้นเขียนบล็อกเล่าถึงอาการคร่าว ๆ ของผิวหน้าตัวเองที่จู่ ๆ ก็เกิดคันยิบ ๆ แสบ แห้ง ผิวลอกเป็นแผ่นกันไปแล้วน่ะนะคะ ด้วยความที่ใจนึงก็อยากไปหาหมอ จะได้รักษาได้ตรงอาการ แต่พอจะแว้นไปหาหมอทีไร ก็ได้เวลาหมอปิดคลินิกทุกที T^T อย่ากระนั้นเลย เมื่อพึ่งพาหมอไม่ได้ ก็ลอง search หาอาการที่คล้าย ๆ กันจากในเน็ตแล้วก็วินิจฉัยตัวเองดูก่อนละกันนิ


หลังจาก search หามาได้สักพัก ก็เริ่มหวั่นใจว่าตัวเองคงจะเป็นโรคชนิดนึงที่เรียกว่าโรคตัวไรขนบนใบหน้าฮ่ะ ก่อนอื่นมาทำความรู้จักกับไอ้ตัวไรขนตัวนี้กันสักนิดนะคะ ไอ้ตัวไรขนที่อยู่บนใบหน้าเนี่ย มันก็คือตัวปรสิตชนิดนึงที่อยู่บนใบหน้าของคนเรานี่แหละฮ่ะ โดยมันจะอาศัยอยู่ในต่อมไขมันของคน ต่อมละประมาณ 2-6 ตัว (ชุมชนแออัดนะยะ) ในท่าที่ฝังส่วนหัวลงในต่อมขนส่วนลำตัวของมันซึ่งจะยาวคล้าย ๆ หนอนก็จะวางตามแนวเส้นขนบนผิว ซึ่งแน่นอนว่าขนาดที่ฝังลงไปในต่อมขนได้ก็ต้องมีขนาดที่จิ๊ดริดน่าดู (ขนาดเล็กมากค่ะ คือจะอยู่ที่ราว ๆ 0.1-0.4 มิลลิเมตรเท่านั้นเอง)


จริง ๆ แล้วคนเรานั้นก็มีไอ้เจ้าตัวไรขนนี้เป็นผู้อยู่อาศัยบนผิวหนังกันทุกคนแหละฮ่ะ และปกติมันก็ไม่ได้ก่อให้เกิดความเดือดร้อนรำคาญหรือก่อให้เกิดโรคผิวหนังแก่เราแต่อย่างใด ยกเว้นแต่ทว่าเมื่อจู่ ๆ ตัวไรขนก็เพิ่มปริมาณมากขึ้นโดยไม่ทราบสาเหตุ(บางตำราเค้าบอกว่า ตัวไรขนนี้มักพบในผู้สูงอายุ หรือพบในภาวะที่ภูมิคุ้มกันของร่างกายลดลง อะไรประมาณนี้)

แล้วไอ้ตัวไรขนนี่มันมาจากไหนล่ะ ตามตำราเค้าบอกว่า ไอ้เจ้าตัวนี้มักจะอาศัยอยู่ตามฝุ่นในบ้านของเรานี่แหละ (บางคนก็เลยเรียกว่าตัวไรฝุ่น) ไม่ว่าจะเป็น พรม,ที่นอน,หมอน,ผ้าห่ม ซึ่งแน่นอนว่าเราจะพบตัวไรฝุ่นได้มากที่สุดในห้องนอน เพราะมักจะมีอุณหภูมิและความชื้นพอเหมาะ

อาการแพ้ตัวไรฝุ่นที่เกิดขึ้นกับคนนั้น เกิดจากการสูดดมตัวไรฝุ่นเข้าไปฮ่ะ รวมไปถึงพวกโปรตีน,สิ่งปฏิกูลของมัน,เปลือก,ซากของตัวไรฝุ่น ซึ่งล้วนแล้วแต่ก่อให้เกิดอาการภูมิแพ้และเป็นหอบหืดได้ทั้งนั้น อีกทั้งอาการที่แสดงออกมาทางผิวหนังนี่ เค้าเรียกกันว่า atopic demaletis คือ จะมีอาการ คัน เป็นผื่นแดง ผิวแห้งแตกเป็นขุย ได้ทั้งที่ข้อพับ คอ แก้ม และบริเวณหน้า ซึ่งไ้อ้การเหล่านี้มันก็มักจะมาพร้อมอาการหอบหืด (มีครบเลยตรู ขาดแต่หอบหืดอย่างเดียว)

วิธีป้องกันตัวไรฝุ่นก็ไม่ยากฮ่ะ คือหมั่นรักษาความสะอาดของบ้านเรือนอยู่เสมอ ปัดกวาดเช็ดถูฝุ่นออกจากเครื่องเรือน,เครื่องนอนให้มากที่สุด นำที่นอนหมอนมุ้งไปซักและผึ่งแดดประจำ ก็จะช่่วยขจัดไรฝุ่นออกได้มากระดับหนึ่ง

ทีนี้ถ้าเป็นโรคผิวหนังที่เกิดจากไรฝุ่นจะทำอย่างไร...เดี๋ยวเรามาดูวิธีการรักษากันในครั้งหน้านะคะ










ผิวแห้ง แสบ คัน นี่ฉันเป็นอะไร


ไม่นึกไม่ฝันเลยว่าวันนี้อิชั้นจะมีบล็อกที่เกี่ยวกับโรคผิวหนังชื่อไม่คุ้นบล็อกนี้ได้ >.< วันนี้ถือเป็นวันแรกที่จะขอเปิดตัวบล็อกที่จะช่วยบันทึกเหตุการณ์,สาเหตุของโรคผิวหนังที่กำลังเผชิญอยู่ และวิธีรักษาทีึ่กำลังค้นหาอยู่น่ะนะคะ

ก่อนอื่นคงต้องท้าวความย้อนหลังกันไปสักนิดนึงค่ะ คือเมื่อประมาณสองเดือนที่แล้ว ตอนที่อากาศเริ่มเย็นลง จู่ ๆ อิชั้นก็ตื่นมาพร้อมกับความรู้สึกว่าผิวหน้าแห้งกว่าปกติ แห้งไม่แห้งเปล่าค่ะ บริเวณใต้จมูกเหนือริมฝีปากด้านขวามือ มีความรู้สึกว่ามันคันยิบ ๆ แห้ง,ลอกเป็นแผ่น ขุย คล้าย ๆ กับการลอกคราบของงูยังไงยังงั้น


ด้วยความที่นึกว่าผิวแห้งตามปกติ อิชั้นก็พยายามโบกครีมบำรุงค่ะ แต่ดูเหมือนยิ่งโบก อาการแห้ง,แสบ,คันของผิวหนังบริเวณนั้นก็ยิ่งทีวีความรุนแรงขึ้น และยิ่งแล้วกันใหญ่เมื่อเรารู้สึกว่ามันคัน ก็อดที่จะเกาไม่ได้ เกาเฉย ๆ ไม่พอ พอผิวลอกเป็นแผ่นขาว ๆ ก็ยังไปสะกิดแกะมันออกด้วยหวังว่าจะมันจะหายไปภายในไม่กี่วันอ่ะนะคะ

ช่วงนั้นก็ยังคงทาครีมกันแดด ลงรองพื้นบาง ๆ แล้วก็ทาแป้งตลับตามปกติค่ะ และด้วยความที่ปกติเป็นคนที่มีสิวมาเยี่ยมกรายอยู่บ่อย ๆ ในช่วงรอบเดือนมา เราก็คิดว่าอาจจะเป็นเพราะผิวหน้าผลัดผิวได้ไม่ดีพอ ทำให้เกิดการอุดตันและก่อให้เกิดสิว ทีนี้ก็เที่ยวเสาะหาสมุนไพรขัดหน้ามาใช้สิคะ ซึ่งช่วง 2-3 วันแรกที่ใช้ ก็ดูเหมือนจะดีค่ะ ผิวหน้าดูนุ่ม ลื่นขึ้น ทาแป้งได้ติดดี แม้ว่าจะมีอาการผิวแห้งจนต้องโบกครีมบำรุงทุกวัน แถมอาการลอก,แสบ,แดง ที่เป็นปัญหาเหนือริมฝีปากด้านขวาก็ยังมีอยู่ แต่ก็ยังหาได้รู้เท่าทันอาการที่มันกำลังจะแย่ลงไม่ จนกระทั่งผ่านไปอีกราว ๆ สองอาทิตย์ได้ เราก็ตื่นมาเพื่อจะพบว่า..ปัญหาแสบ แดง คันนั้น ได้ขยายวงกว้าง และเพิ่มจุดมาบริเวณเหนือริมฝีปากด้านซ้าย,ร่องจมูก และบริเวณใต้ริมฝีปากด้านซ้าย เอ๊ะ..ทีนี้ก็เริ่มเอะใจแล้วสิคะ ว่าทำไมเราทั้งโบกทั้งทาครีมบำรุงอย่างหนักมือ แต่ปัญหาผิวแดง ลอก แสบ คัน มันไม่ได้ลดน้อยถอยลงไปเลยแม้สักนิดหนึ่ง

เอาล่ะสิ..นี่ชั้นเป็นอะไรฟระ..ด้วยความกังวลใจ เพราะช่วงนั้นเริ่มแสบผิวเยอะแล้ว แถมบางวันบริเวณจุดที่แสบ คันยิบ ๆ แดงเป็นปื้นและมีอาการลอกนั่น ยังมีน้ำใส ๆ เยิ้มออกมาจนต้องใช้กระดาษทิชชู่เช็ดออกด้วย ก็คิดจะไปหาหมอค่ะ แต่จนแล้วจนรอด ขับรถเข้าเมืองจะไปหาหมอที่คลีนิคผิวหนังทีไร ก็ไปอิ่ตอนหมอเค้าปิดร้านซะทุกที เราก็เลยต้องถอยกลับมาหาข้อมูลเอาเองก่อน ว่าไอ้อาการอย่างที่เป็นอยู่นี่ มันสามารถจะเกี่ยวเนื่องกับโรคอะไรได้บ้าง

ข้อสันนิษฐานแรกก็คือ เราอาจจะเป็นโรคมี ไรขนบนหน้า ค่ะ..หลายคนคงงง (บอกตามตรง อิชั้นก็งง) โรคมีไรขนคืออะไร เราจะมาเคาะข้อมูลออกมาดูพร้อม ๆ กันนะคะ

อันดับแรก คือ..เราคงพอได้ยินคำพูดกล่าวรวม ๆ กันมาบ้างหรอก ว่าไอ้ตัวเหลือบ ริ้น ไร นี่มันคือแมลงตัวเล็ก ๆ สปีชี่ส์หนึ่ง ซึ่งจริง ๆ แล้วมันก็น่าจะอยู่ในสภาพแวดล้อมตามธรรมชาตินะ แต่ไอ้ตัวไรขนชนิดนี้ มันอุตริเป็นตัวไรที่มาอาศัยอยู่บนใบหน้าของคนนี่สิ คือมันจะอาศัยอยู่ตามรูขุมขนของผิวคน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง บนผิวหน้าและหนังศรีษะ และจะอาศัยกินสารอาหารและไขมันที่ผลิตออกมาจากต่อมไขมัน โดยเฉพาะรอบ ๆ จมูก ขนตา และบริเวณใบหน้า ทำให้ต่อมไขมันเกิดการอักเสบ ติดเชื้อ เกิดเป็น สิว หรือ ผื่นขึ้นได้

อิชั้นค้นลึกลงไปอีกฮ่ะ (คือแบบ..คนมันสงสัยอ่ะ ระหว่างค้นก็เกาไปด้วยนะ คืนมันคันยิบ ๆ แสบ ๆ ตลอดเวลา T^T ทรมานสุดยอดเลย) ด้วยความอยากรู้ว่า ไอ้การของคนที่มีตัวไรขนอยู่บนหน้าแล้วทำความเดือดร้อนให้เจ้าบ้านนี่มันเป็นยังไง ในตอนหน้าเรามาดูอาการของคนที่มีตัวไรขนบนใบหน้าแล้วทำให้เกิดปัญหาสารพันกับผิวคนเรากันนะคะ