วันอังคารที่ 29 เมษายน พ.ศ. 2557

ได้ใช้แล้วไม่แพ้ ตอน มูสล้างหน้า Kuron ตอนที่ 3


จะกลายเป็นมหากาพย์ซะแล้วมั้ยเรา 555+ มาว่ากันเรื่องของผลิตภัณฑ์ที่ใช้แล้วไม่แพ้กันต่อนะคะ วันนี้เราจะยังอยู่กับ มูสล้างหน้า Kuron กับแปรงล้างหน้าที่สั่งผ่านเว็บไซด์มาลองกันค่ะ

หลังจากที่ได้แปรงล้างหน้าอัตนโมัติซึ่งขายคู่มากับมูสล้างหน้าของ Kuron มาแล้ว แอดมินก็ใช้เลยฮ่ะ ปรากฎว่าแค่คืนแรกที่ใช้ เช้ามาหน้าขึ้นตุ่ม ๆ เล็ก ๆ ซะงั้น ถึงจะไม่มีอาการคล้ายสิวจะผุดขึ้นมา แต่มันก็ฟ้องว่า ผิวหน้าอาจจะคายเคืองบางอย่าง


สามวันถัดมาแอดมินก็เลยหยุดใช้เครื่องล้างกับมูสของ Kuron ไปโดยปริยายค่ะ กำลังจะถอดใจแล้วเชียว ถ้าไม่เผอิญว่า เช้าวันนึง หลังจากลงรองพื้นที่ผิวหน้าก่อนทางแป้งเรียบร้อย แอดมินก็มองหน้าสบู่ที่จะมาล้างคราบครีมรองพื้นที่เหลืออยู่ใจกลางอุ้งมือออก (เสียนิสัยนิดหน่อยค่ะ ปั๊มครีมรองพื้นออกมาเกินกว่าที่ใช้งานจริงทุกวันเลย) มองไปมองมา เอิ้ววว...เอาเจ้ามูสล้างหน้าของ Kuron นี่แหละฟระ ไหน ๆ ก็จะไม่ใช้มันอยู่ละ (หะแรกคิดว่าแพ้) ก็เลยปั๊มมูสของ Kuron มาจึ๊กหนึ่ง ถู ๆ ๆ วน ๆ ๆ ไปเรื่อย ๆ เสร็จแล้วก็ล้างออก แว่บแรก...เอ๊ะ..ทำไมคราบครีมรองพื้นหายเกลี้ยงเลย แอดมินแทบไม่เชื่อสายตา เพราะปกติถึงบีบโฟมล้างหน้าสมูทอีล้าง ก็ยังเป็นคราบอยู่ อย่ากระนั้นเลย ลองใช้ผ้าเช็ดดูสิว่ามีคราบเหลือมั้ย....เช็ดปั๊บ..โฮ้วว..ไม่มีเหลือเลยค่ะ คราบเคริบที่เคยมีหายเกลี้ยง นี่หมายความว่า..ไอ้เจ้ามูสของ Kuron นี่ล้างครีมรองพื้นออกด้วยหรือ ??


อเมซิ่งไปหลายวิฮ่ะ...ดังนั้นพอตกค่ำลง หลังจากเช็ด คสอ.ออกจากใบหน้าเรียบร้อยแล้ว แอดมินก็เลยตัดสินใจหยิบมูส Kuron ขึ้นมาใช้ล้างแทน โฟมล้างหน้าสมูทอี ด้วยคิดว่า..มันน่าจะล้างได้สะอาดเอี่ยมอ่องกว่า ซึ่งแม่เจ้า....พอใช้ตัวมูสเดี่ยว ๆ โดยไม่ต้องอาศัยแปรง..ขอบอกว่า มันเริ่ดมาก...ลองใช้โทนเนอร์ชุบสำลีเช็ดอีกรอบ ไม่มีคราบเครื่องสำอางอะไรเหลือเลย สำลีขาวโบ๊ะ ประทับใจสุด ๆ ทีนี้ก็ต้องลองดูล่ะ ว่าหากใช้ต่อเนื่องกันแล้ว จะแพ้หรือไม่ (ปกติแอดมินแพ้ง่ายค่ะ เปลี่ยนเครื่องสำอางอะไรก็มักจะแพ้ แถมเป็นเซ็บเดิร์มอีก จะใช้อะไรที คิดแล้วคิดอีก)


ตอนนี้ใช้มาประมาณ 1 สัปดาห์แล้วค่ะ ขอบอกว่าเป็นมูสล้างหน้าที่ประทับใจมาก..ชอบสุด ๆ ชอบถึงขนาดว่าเมื่อวานไปเดินสอยมาอีก 2 ขวดจากร้านวัตสัน ซึ่งขอบอกว่าถูกกว่าที่หาได้ในเว็บน่ะนะคะ (ตามเว็บขวดละ 390 บาทค่ะ แต่ที่วัตสันแค่ 290 เท่านั้นเอง เริ่ดมาก..) คิดว่าจะใช้ไปเรื่อย ๆ ค่ะ นานๆ จะเจอตัวทำความสะอาดผิวที่เหมาะกับเราซะที แถมราคาก็ถูกกว่าสมูทอีโฟมด้วย ขวดนึง ใช้เช้า-เย็น น่าจะใช้ได้ประมาณเกือบ ๆ เดือนน่ะนะคะ ก็หวังว่าเพื่อน ๆ ที่กำลังมองหาตัวโฟมล้างหน้าที่ล้างหน้าได้สะอาดหมดจด ไม่แพ้ ไม่ระคายเคือง จะได้มีตัวเลือกเพิ่มขึ้นอีกตัวหนึ่ง

แล้วกลับมาพบกับผลิตภัณฑ์ที่แอดมินได้ใช้แล้วไม่แพ้ในตอนต่อไปนะคะ




วันพุธที่ 23 เมษายน พ.ศ. 2557

ได้ใช้แล้วไม่แพ้ ตอน มูสล้างหน้า Kuron ตอนที่ 2


หลังจากที่อ่านรีวิวการใช้แปรงล้างหน้าอัตโนมัติของ Kuron มาแล้ว แอดมินก็เริ่มมองหาแหล่งที่จะซื้อมาลองค่ะ ตอนแรกว่าจะแวะเวียนไปเดินดูตามห้าง แต่ดูแล้วแถวต่างจังหวัดที่แอดมินอยู่ ก็คงจะหาซื้อได้ยากพอสมควร สุดท้ายแอดมินก็ไปพบไอ้เจ้าเครื่องตัวนี้ที่ขายพร้อมมูสล้างหน้าอยู่ในเซ็ตเดียวกันที่ขายผ่านระบบออนไลน์ของเว็ปดังเว็ปหนึ่ง ซึ่งเมื่อเปรียบเทียบราคาดูแล้วค่อนข้างถูกกว่าการไปเดินซื้อเองตามห้าง (ปกติเห็นว่าตามห้างขายอยู่ที่ราคาชุดละ พันกว่าบาท แต่แอดมินสั่งจากเว็ปนี้ด้วยราคาแค่ชุดละ 990 บาทเท่านั้นเอง) ก็เลยลองตัดสินใจสั่งซื้อ รออยู่ประมาณ 3 วันค่ะ และแล้วของที่สั่งก็มาถึง


คืนแรกที่ได้ของมา แอดมินลองเลยค่ะ แบบว่าเห่อของใหม่ 555 ซึ่งหลังจากดูรีวิวตามที่ต่าง ๆ แล้วก็ใช้งานไม่ยากนะคะ คือให้ใส่ถ่านที่เจ้าแปรงที่มีหัวเป็นขนแปรงนุ่ม ๆ และหมุน ๆ ได้ 4 ก้อน (คล้าย ๆ แปรงสีฟันไฟฟ้านึกออกมั้ยคะ) โดยปั๊มมูสของ Kuron ที่อยู่ในกล่องลงบนหัวปั๊มที่จุ่มน้ำให้เปียกไว้แล้วลงไปด้วย แอดมินปั๊มมูสออกมา 2 ครั้งค่ะ จากนั้นก็เปิดเครื่องแล้วก็เริ่มทำการล้างหน้าด้วยไอ้เจ้าเครื่องตัวนี้เลย (แต่ขอบอกว่าถ้าใครแต่งหน้าครบเครื่อง ทั้งกันแดด รองพื้น เครื่องสำอางต่าง ๆ ควรใช้คลีนซิ่งก่อนทำการล้างหน้าด้วยมูสและเครื่องล้างของ Kuron นะคะ) วิธีการล้างก็ไม่ยากค่ะ แค่นำแปรงค่อย ๆ ทาบบนผิวเบา ๆ แล้วก็เคลื่อนหัวแปรงไปตามจุดต่าง ๆ บนผิวหน้า ใช้เวลาไม่ควรเกิน 30 วินาทีในแต่ละโซน (หน้าผาก,จมูก,คาง,แก้ม) จากนั้นจึงปิดเครื่อง ล้างหัวแปรงด้วยน้ำเปล่าให้สะอาด ล้างหน้าด้วยน้ำเปล่าก็เป็นอันเสร็จพิธีค่ะ

หลังจากลองล้างหน้าดูในคืนแรก...คงต้องบอกว่ายังไม่เห็นผลอะไรค่ะ แต่รู้สึกแสบ ๆ ผิวเล็กน้อย ไม่รู้ว่าเป็นเพราะแอดมินกดขนแปรงแรงไปรึเปล่า จากนั้นจึงโบกฟิสิโอ เจล ครีมก่อนนอน เพื่อบำรุงผิว..เช้าขึ้นมา เอ๊ะ..ทำไมรู้สึกผิวมันไม่ค่อยเรียบ (ปกติถ้าล้างด้วยมือธรรมดากับสมูทอี เบบี้เฟซโฟม ผิวจะเรียบลื่นกว่าค่ะ) มันแลดูเป็นตุ่ม ๆ T^T เอาแล้วสิ แอดมินแพ้มูส Kuron หรือแปรงมันบาดหน้าไปรึเปล่าเนี่ย

เข็ดค่ะเข็ด..สามวันต่อจากนั้น แอดมินไม่แตะมูสกับเครื่องตัวนี้เลย....เดี๋ยวลองมาดูกันนะคะ ว่าทำไมจู่ ๆ แอดมินถึงลุกขึ้นมา รีวิว ว่าใช้มูสตัวนี้แล้วไม่แพ้ กลับมาติดตามกันต่อในตอนหน้านะคะ





ได้ใช้แล้วไม่แพ้ ตอน มูสล้างหน้า Kuron ตอนที่ 1


สวัสดีค่ะ เพื่อน ๆ สมาชิกบล็อกเซ็บเดิร์มทุกท่าน สำหรับบล็อกนี้ส่วนใหญ่แล้ว แอดมินจะนำข้อมูลเกี่ยวกับการดูแลรักษาตัวเองสำหรับผู้ที่เป็นโรคเซ็บเดิร์ม หรือที่เราเรียกกันว่า "โรคผิวหนังอักเสบ" นั่นเองน่ะนะคะ ซึ่งโรคนี้จริง ๆ แล้วก็จัดอยู่ในกลุ่มโรคภูมิแพ้ผิวหนังซึ่งมักแสดงอาการของโรคออกมาได้เรื่อย ๆ เมื่อได้รับแรงกระตุ้นหรือที่เราเรียกว่าเป็นโรคเรื้อรังนั่นเอง ซึ่งแน่นอนว่าปัจจัยกระตุ้นให้อาการเซ็บเดิร์มกำเริบนั้น เกิดขึ้นได้จากหลายปัจจัยด้วยกันค่ะ ไม่ว่าจะเป็นสภาพอากาศ,อาหาร,การใช้ชีวิตประจำวัน หรือแม้แต่สภาพร่างกายที่ไม่แข็งแรง เครียด ขาดการพักผ่อน ซึ่งล้วนแล้วแต่เป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงกันได้ยากพอสมควรในโลกปัจจุบันนี้

สำหรับการดูแลรักษาไม่ให้โรคเซ็บเดิร์มกำเริบนั้น นอกจากดูแลรักษาสุขภาพกายภายในให้แข็งแรงแล้ว การดูแลรักษาสภาพผิวภายนอกก็มีส่วนสำคัญมากเช่นกันค่ะ ไม่ว่าจะเป็นการเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ดูแลผิวที่ไม่เสี่ยงต่อการกระตุ้นการเกิดโรค หรือการหลีกเลี่ยงปัจจัยแวดล้อมต่าง ๆ ที่อยู่รอบตัวเรา ในส่วนของการเลือกใช้ผลิตภัณฑ์นั้น ส่วนใหญ่แล้วผู้ที่เป็นโรคนี้มักต้องดูแลและเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีคุณสมบัติอ่อนโยนเป็นพิเศษค่ะ ดังนั้น แอดมินจึงจะขอนำผลิตภัณฑ์ต่าง ๆ ที่แอดมินทดลองใช้หรือใช้ได้ผลดี และไม่เกิดอาการแพ้มารีวิวให้ได้รับชมกันทีละตัวนะคะ ซึ่งวันนี้จะเริ่มกันที่ตัวที่ช่วยทำความสะอาดผิวหน้ากันก่อน นั่นก็คือ มูสล้างหน้า Kuron ค่ะ


ทำไมถึงเลือกรีวิว มูสล้างหน้า Kuron เป็นอันดับแรก ?

จริง ๆ แล้วก่อนหน้านี้แอดมินใช้โฟมล้างหน้าชนิดไม่มีฟอง ยี่ห้อ สมูทอี เบบี้ เฟซ โฟม หลอดสีเขียวมาก่อนค่ะ และเป็นสาวกของสมูทอีมาหลายปีมาก เนื่องจากยังไม่เจอโฟมหรือสบู่ล้างหน้ายี่ห้อไหนที่จะมาแทนที่เจ้าตัวนี้ได้ เรียกว่าไปใช้ครีมโฟมยี่ห้อไหน ๆ ประเดี๋ยวก็ต้องวกกลับมาตายรังอีก

แล้วเจ้ามูสล้างหน้า Kuron ดีอย่างไร ทำไมแอดมินถึงได้เลือกหยิบมาใช้แทนเจ้าโฟมล้างหน้าสมูทอี ที่มีดีกรี เซฟโหมดที่สุดของตัวเองได้

ย้อนกลับไปเมื่ือสองอาทิตย์ที่แล้วค่ะ เนื่องจากนอกจากแอดมินจะมีปัญหาของโรคเซ็บเดิร์มเป็นทุนอยู่แล้ว ยังมีปัญหาเรื่องสิวน้อยใหญ่ที่คอยผลัดกันมากวนใจอยู่เรื่อย ๆ อีกด้วย ส่วนหนึ่งที่แอดมินสังเกตก็คือ อาจจะเป็นเพราะแอดมินล้างหน้าไม่สะอาดนั่นเอง แม้ว่าจะใช้คลีนซิ่ง วอเตอร์ตัวหนึ่งที่ช่วยเช็ดล้างเครื่องสำอางต่า ง ๆ ออกได้ถึง 70-80 เปอเซ็นต์แล้ว แต่แอดมินก็คิดว่ามันคงยังไม่สะอาดเพียงพอ เพราะปัญหาสิวก็ยังคงกลับมากวนใจได้ทุกบ่อย ปัญหาสิวส่วนใหญ่ที่แอดมินเป็นนั่น จะเป็นสิวที่เรียกว่า สิวอุดตันค่ะ คือมีอาการบวม ปูด เจ็บ และเม็ดใหญ่พอสมควร ซึ่งกว่าจะหายมันก็ได้ทิ้งร่องรอยสิวเอาไว้เพียง..เรียกว่าพอจุดนี้หาย จุดนั้นก็เป็นอีก ร่องรอยอารยธรรมแดง ๆ ด่าง ๆ ก็เลยไม่มีวันว่างเว้นไปจากใบหน้าของแอดมินซะที

จนกระทั่งมาวันหนึ่ง แอดมิน search หาข้อมูลเกี่ยวกับการล้างหน้าให้สะอาดล้ำลึกและช่วยให้การขจัดเซลล์ผิวเสื่อมสภาพด้านบนออกไปได้อย่างมีประสิทธิภาพเพื่อลดอาการสิวอุดตันเพิ่มเติมค่ะ แล้วชื่อและภาพรวมไปถึงการรีวิว เจ้าเครื่องล้างหน้าอันโนมัติที่มีลักษณะเป็นหัวแปรงกับมูสล้างหน้าของ Kuron ก็โผล่ขึ้นมาให้ได้พบ หลังจากกดเข้าไปอ่านรีวิวสัก 2-3 ชั่วโมงก็พบว่า ฟีดแบ็กของไอ้เจ้าเครื่องล้างหน้ากับมูสของ Kuron นี้ค่อนข้างดีค่ะ คือเค้าเคลมกันว่ามันช่วยให้การล้างหน้าทำได้อย่างหมดจดยิ่งขึ้น ช่วยขจัดเซลล์ผิวที่เสื่อมสภาพ ลดการเกิดสิวอุดตัน แอดมินก็กิเลสขึ้นสิคะ..อย่ากระนั้นเลย ลองหาดูดีกว่าว่ามันซื้อกันที่ไหน...

ชักเริ่มเล่ายาวเกินไปละ...เดี๋ยวเรามาอ่านกันต่อถึงประสิทธิภาพและผลการใช้งานของเจ้าเครื่องล้างหน้า+มูสของ Kuron ตัวนี้กันนะคะ





วันอังคารที่ 22 เมษายน พ.ศ. 2557

วิธีรักษาอาการเซ็บเดิร์ม (seb derm) ด้วยตัวเอง ตอนที่ 2


การรักษา โรคเซ็บเดิร์ม ซึ่งจัดเป็นโรคผิวหนังชนิดหนึ่งซึ่งเมื่อเป็นแล้วมักจะมีอาการกำเริบขึ้นมาได้อีกเป็นระยะ ๆ เมื่อร่างกายไม่แข็งแรงและพบกับปัจจัยที่เข้ามากระตุ้นต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นอากาศที่ร้อนจัดเกินไป หนาวจัดเกินไป การดื่มหรือกินอาหารและเครื่องดื่มต่าง ๆ การใช้ผลิตภัณฑ์ดูแลผิวที่รบกวนผิวมากเกินไป หรือแม้แต่อยู่เฉย ๆ บางครั้ง..มันก็ยังเป็นได้อีกนั้น ถือเป็นภาระกิจกู้ผิวที่รบไม่มีวันสิ้นสุดของหลายๆ คนน่ะนะคะ >.<

สำหรับตัวแอดมินเอง หลังจากที่เริ่มรู้ตัวว่ามีอาการของโรค เซ็บเดิร์ม บริเวณใบหน้า ใต้จมูก รอบริมฝีปาก ซึ่งมีอาการแสบร้อน,คัน,แดง ผิวลอกเป็นขุย มีสะเก็ดขาวคลุมอยู่บริเวณที่มีรอยโรค แถมบางครั้งยังมีน้ำเหลืองไหลซึมตลอดเวลา ซึ่งนอกจากจะทำให้เสียบุคลิกแล้ว ยังรบกวนการดำเนินชีวิตปกติของตัวแอดมินด้วย เพราะมันคันยิบ ๆ แสบยิบ ๆ ตลอดเวลา บางคืนถึงขั้นนอนไม่ได้เลยก็มี

ในระยะแรกของการรักษาโรคนี้ แอดมินใช้วิธีหยุดใช้เครื่องสำอางบางประเภท ก่อนเป็นอันดับแรกค่ะ เรามาดูผลิตภัณฑ์ที่แอดมินเลือกใช้เพื่อการรักษาโรคเซ็บเดิร์มที่ได้ผลกับตัวเองกันนะคะ


ช่วงที่ 1 ของการรักษา เมื่ออาการของโรคเป็นค่อนข้างมาก

ช่วงเช้า

  1. ล้างหน้าให้สะอาดด้วยโฟมล้างหน้าสมูทอี เบบี้เฟซโฟม หลอดเขียว โดยล้างอย่างเบามือ ลูบไปตามแนวรูขุมขน
  2. เนื่องจากอยู่ในช่วงที่โรคกำเริบ จึงต้องทายา Topicorte 0.25% บาง ๆ บริเวณรอยโรค
  3. ทาครีมบำรุงผิว ฟิสิโอ เจล ครีม เอไอ (Physio gel AI cream) บาง ๆ ให้ทั่วผิวหน้า
  4. ทาครีมกันแดด สเปคตร้าแบน spf30 สำหรับผิวแพ้ง่าย (Spectra ban spf30 sensitive skin)
  5. ใส่หมวกป้องกันแสงแดด หลีกเลี่ยงแดดจัด ทานน้ำเยอะ ๆ เพื่อให้ผิวไม่แห้งตึง
ช่วงกลางคืน

  1. เนื่องจากทาครีมกันแดด จึงต้องเช็ดหน้าด้วยคลีนซิ่ง วอเตอร์ก่อนค่ะ แอดมินเลือกใช้ยี่ห้อ ไบโอเดอม่า ฝาชมพู เช็ดเบา ๆ ตามแนวรูขุมขนก่อน 2 รอบ
  2. ล้างหน้าให้สะอาดด้วยโฟมล้างหน้าสมูทอี เบบี้เฟซโฟม หลอดเขียว
  3. ทายา  Topicorte 0.25% บาง ๆ แล้วตามด้วยน้ำมันมะพร้าวสะกัดเย็น ทาแล้วนอนเลยค่ะ (สำหรับคนที่เป็นสิว หน้ามันมาก ให้โบกครีมฟิสิโอเจลครีม เอไอแทนนะคะ)
แอดมินทำเช่นนี้อยู่ประมาณ 1 อาทิตย์ อาการก็เหมือนจะดีขึ้น แต่พอแอดมินเผลอไปดื่มไวน์ น้ำอัดลม หรือโดนแดดจัด ๆ (ช่วงนั้นหน้าหนาวค่ะ อากาศกลางคืนกับตอนเช้าเย็นและแห้งมาก) อาการก็จะกลับมาเป็นอยู่อีก 2-3 รอบ ซึ่งทุกครั้ง แอดมินก็อาศัยทายา  Topicorte 0.25% เป็นระยะ ๆ ครั้งละไม่เกิน 3 วัน เพื่อไม่ให้ผิวติดสเตียรอยด์ซึ่งผสมอยู่ในตัวยา

เมื่ออาการเริ่มดีขึ้น แอดมินก็เริ่มหาครีมที่จะมาช่วยลดการติดการทายา Topicorte 0.25% ลงค่ะ โดยได้ตัวครีมที่มีชื่อว่า Ezerra มาใช้แทน เจ้าตัวนี้ขาดไม่ได้นะคะ ให้ลงครีม Ezerra ก่อนบาง ๆ บริเวณที่มักจะมีโรคกำเริบประจำ ก่อนทาครีมบำรุง ฟิสิโอเจบ ครีม เอไอทุกครั้งเช้าเย็น

ทุกวันนี้อาการของโรคสงบลงค่ะ มีบางครั้งเท่านั้นที่รู้สึกแสบคันยิบ ๆ แต่พอล้างหน้าแล้วโบกครีมบำรุง+Exerra ไว้ อาการก็หายไป


ปัจจุบันนี้แอดมินสามารถทาแป้งแต่งหน้าได้ตามปกติค่ะ แต่พยายามจะเลือกใช้ครีมและเครื่องสำอางต่าง ๆ ที่อ่อนโยนที่สุด เพื่อไม่ให้ผิวหน้ากลับมามีอาการอีก ซึ่งบล็อกในตอนหน้า แอดมินจะนำเอาเครื่องสำอางต่าง ๆ ที่เลือกใช้แล้วไม่แพ้ ไม่ก่อให้เกิดสิว หรืออาการเซ็บเดิร์มมารีวิวให้ดู เพื่อเป็นแนวทางในการเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ที่เหมาะสำหรับผิวที่มีปัญหาเซ็บเดิร์มอย่างเรา ๆ กันนะคะ

แล้วกลับมาพบกันใหม่ในครั้งหน้าค่ะ




วันเสาร์ที่ 19 เมษายน พ.ศ. 2557

วิธีรักษาอาการเซ็บเดิร์ม (seb derm) ด้วยตัวเอง ตอนที่ 1


สวัสดีค่ะเพื่อน ๆ สมาชิกที่แวะเวียนเข้ามาอ่านบทความในบล็อกเพื่อศึกษาสาเหตุและหาวิธีรักษาอาการของ โรคเซ็บเดิร์ม ที่อาจจะกำลังเผชิญอยู่ทุกท่าน

สำหรับตัวแอดมินเองแล้ว แน่ใจว่าตัวเองเป็น เซ็บเดิร์ม เนื่องมาจากหมั่นสังเกตอาการของตัวเองมาเป็นระยะๆ น่ะนะคะ ไม่ว่าจะเป็นการที่ผิวบริเวณใบหน้า ได้แก่ ใต้จมูกและรอบริมฝีปาก เกิดอาการคันยุบยิบๆ เป็นผื่นแดง มีสะเก็ดขาวปกคลุม และเริ่มร้ายแรงถึงขั้นมีน้ำเหลืองใส ๆ ซึมออกมาในบางขณะด้วย

ปัญหาของโรคเซ็บเดิร์มก่อให้เกิดความเดือดร้อนรำคาญใจค่อนข้างมากฮ่ะ เพราะนอกจากจะเสียบุคลิกเหมือนคนเป็นโรคผิวหนัง กลาก เกลื้อน ทาแป้งก็เป็นเป็นด่างๆ ดวงๆ ขุยๆ เป็นสะเก็ดขาวแล้ว ยังคันยุบยิบแสบร้อนจนบางคืนนอนแทบไม่หลับเอาด้วย

ระยะแรก ๆ ที่เป็นท้อใจอยู่เหมือนกันค่ะ เนื่องจากยังหาวิธีรักษาไม่พบ ไอ้ครั้นจะไปหาหมอหรือก็คงต้องยอมรับว่าขี้เกียจเกินไป ได้แต่เที่ยวค้นหาข้อมูลในอินเตอร์เน็ตเพื่อบรรเทาอาการและรักษาอาการที่เป็นไปวันๆ

ระยะแรกแอดมินใช้วิธีลองผิดลองถูกฮ่ะ หลังจากที่ค้นข้อมูลอยู่เป็นเดือนๆ ก็พบว่ามีผู้ที่กำลังเผชิญกับปัญหาของโรคเซ็บเดิร์มนี้ไม่ใช่น้อย บางคนก็เป็นเพียงหย่อมนึงแต่บางคนก็ถึงขนาดลามจากใบหน้าขึ้นหัวขึ้นหูกันเลยทีเดียว

วิธีการรักษาที่หลายๆ คนลองแล้วได้ผล เค้าแนะนำมาดังนี้ค่ะ

  1. ล้างหน้าให้สะอาดด้วยผลิตภัณฑ์ที่อ่อนโยนที่สุด หากไม่ได้แต่งหน้าให้ใช้น้ำเปล่าล้างหน้า
  2. หลังล้างหน้าช่วงเช้าให้โบกครีมให้ความชุ่มชื่นผิวที่อ่อนโยนตามลงไป (ครีมที่หลายคนแนะนำก็คือตัว ฟิสิโอเจล ครีม เอไอ) ส่วนตอนกลางคืนก่อนนอน หลังล้างหน้าแล้วให้เช็ดด้วยน้ำเกลือล้างแผลรอบนึง จากนั้นนำน้ำมันมะพร้าวสะกัดเย็นมาทาบริเวณรอยโรค
  3. ห้ามแกะ เกา ลูบ คลำเด็ดขาด ถ้าคันยุบยิบมาก ๆ ให้นำแผ่นคูลแพ็ด cool pad ที่แช่เย็นไว้มาแปะ ๆ เพื่อบรรเทาอาการ
  4. หากรอยโรคมีอาการค่อนข้างมาก ให้ไปซื้อยาทาจากร้านขายยา โดยแจ้งอาการกับเภสัชกรว่าเป็นเซ็บเดิร์ม เภสัชกรจะจ่ายยาที่เข้าสเตียรอยด์อ่อน ๆ มาให้ทา ซึ่งยานี้ห้ามใช้ติดต่อกันเป็นเวลานานๆ เนื่องจากจะทำให้ผิวเกิดอาการติดสเตียรอยด์ขึ้นมาได้
แอดมินทำตามคำแนะนำด้านบนหมดทุกวิธีค่ะ นั่นคือช่วงนั้นงดแต่งหน้าทาแป้งไปเลย ใช้เพียงแค่ครีมบำรุงผิวและครีมกันแดดในช่วงเช้า ส่วนตอนค่ำก็เที่ยวสรรหาน้ำมันมะพร้าวสะกัดเย็นมาโบก ซึ่งก็ช่วยได้เพียงเล็กน้อยเท่านั้นน่ะนะคะ



ดังนั้นเมื่อมันไม่หายเสียที แอดมินก็เลยต้องเดินหน้าเข้าร้านขายยาแจ้งกับเภสัชกรว่าเป็นเซ็บเดิร์มและต้องการหายาทาเพื่อรักษาอาการของโรค ซึ่งงานนี้เภสัชกรได้จ่ายยาในรูปของเนื้อครีมที่เป็นขวดมาให้ทา (ตัวยาชื่อ Topicorte 0.25%) โดยจะต้องทาบางๆ บริเวณที่เกิดรอยโรคเช้า-เย็นหลังล้างหน้า และไม่ควรทาติดต่อกันเกิน 7 วัน

เหมือสวรรค์มีจริงเลยค่ะ เพียงแค่ทาวันแรกเท่านั้น อาการของโรคก็ดีขึ้นอย่างฉับพลัน ไม่ว่าจะเป็นอาการแสบร้อน,คันหรือแม้แต่อาการผิวลอกเป็นขุยในบริเวณที่เป็นรอยโรค แต่อาการของโรคนี้ก็ไม่ได้หายสนิทแต่อย่างใดค่ะ เพราะพอหยุดทายาได้สัก 2-3 วัน อาการของโรคมันก็แวะเวียนกลับมาเป็นอีก

เท่าที่แอดมินสังเกตดูช่วงที่เป็นหนัก ๆ ช่วงนั้นจะอยู่ในช่วงหน้าหนาวค่ะ คืออากาศจะเย็นและแห้งกว่าปกติ นอกจากนี้แล้วการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอร์ก็สามารถทำให้อาการของโรคกำเริบได้ แอดมินเองชอบดื่มไวน์วันละแก้วตอนเย็น สังเกตว่าพอดื่มไวน์ปั๊บไม่เกิน 2 ชั่วโมง อาการคัน ตึง แสบร้อน จะเริ่มกลับมาถามหาอีก

ในตอนหน้าเรามาดูวิธีการรักษาอาการของโรคเซ็บเดิร์มที่ทำให้แอดมินมีอาการดีขึ้นจนสามารถกลับมาทาแป้งแต่งหน้าและใช้ชีวิตปกติโดยไร้รอยโรคกันต่อนะคะ




วันจันทร์ที่ 14 เมษายน พ.ศ. 2557

การรักษาโรคเซ็บเดิร์มบริเวณลำตัว


โรคเซ็บเดิร์ม หรือ Seb derm นั้นสามารถเกิดขึ้นได้หลายแห่งในร่างกายค่ะ ไม่ว่าจะเกิดขึ้นบริเวณหนังศรีษะ ใบหน้าหรือแม้แต่ลำตัว ซึ่งข้อสังเกตก็คือเนื่องจากมันเป็นาภาวะที่เรียกได้ว่าโรคผิวหนังอักเสบของต่อมไขมัน ดังนั้น บริเวณไหนที่มีต่อมไขมันกระจุกอยู่เยอะ ๆ ก็ย่อมมีภาวะของโรคเกิดขึ้นได้มากในจุดนั้นๆ


สำหรับปัญหาของโรคเซ็บเดิร์มที่เกิดขึ้นบริเวณลำตัวนั้นส่วนใหญ่แล้วจะพบที่ลำตัวส่วนบนค่ะ อาการของโรคก็คือจะมีลักษณะผื่นแดง ขอบชัด มีสะเก็ดสีออกเหลืองและลักษณะที่เป็นมันและมีอาการอักเสบหรือคันร่วมด้วย ซึ่งแม้ว่าจะพบว่ามีผู้ป่วยที่มีอาการมากในลำตัวส่วนบน แต่ก็มีบางครั้งที่อาการของโรคเกิดขึ้นบริเวณสะดือ รักแร้ และขาหนีบได้เช่นกัน

การรักษาโรคเซ็บเดิร์มที่เกิดขึ้นบริเวณลำตัวนั้น จะคล้ายคลึงกับการรักษาโรคเซ็บเดิร์มที่บริเวณอื่นของร่างกายค่ะ คือเราสามารถใช้แชมพูที่มี่ส่วนผสมของ  Ketocona zole หรือ Selenium sulfide ฟอกตัวแทนสบู่ โดยฟอกทิ้งไว้ราย 10 นาทีก่อนล้างออก หากมีผิวที่แห้ง ก็ควรทามอยเจอร์ไรเซอร์เพื่อเพิ่มความชุ่มชื้นให้กับผิว ในส่วนของผื่นแดง เป็นขุยและเป็นสะเก็ดอักเสบนั้น ให้ใช้ยาสเตียรอยด์ความเข้มข้นปานกลาง เช่น Beta methadone ทาบางๆ บริเวณรอยโรค เช้า-เย็น ใช้ยาในช่วงเวลาสั้นๆ จนกว่าจะหายค่ะ ซึ่ง
ยาทาเพื่อรักษาอาการเซ็บเดิร์มนี้จะอยู่ในกลุ่ม Calcineurin inhibitor อาทิเช่น Tacrolimus และ Pimecrolimus ซึ่งมีฤทธิ์ลดการอักเสบของผิวหนัง สามารถใช้ทดแทนยาเสตียรอยด์ เพื่อลดผลข้างเคียงจากการใช้ยาสเตียรอยด์เป็นเวลานานได้ แต่ราคาก็จะสูงกว่าเมื่อเทียบกับยาทาสเตียรอยด์น่ะนะคะ นอกจากนี้ Tacrolimus ยังมีฤทธิ์ในการต้านเชื้อราด้วย (ใช้ทาที่รอยโรคเช้า-เย็น และอาจมีการระคายเคืองผิวหนังจากยาได้)

ในกรณีที่อาการของโรคเซ็บเดิร์มค่อนข้างมากและรักษาด้วยตัวเองไม่หายแล้ว แนะนำให้ไปพบเพื่อปรึกษาแพทย์ค่ะ เนื่องจากบางครั้งอาจจะต้องใช้ยารับประทานร่วมด้วยน่ะนะคะ



อ้างอิงข้อมูลจาก haamor.com/th/
ภาพประกอบจาก อินเตอร์เน็ต


วันพฤหัสบดีที่ 10 เมษายน พ.ศ. 2557

การรักษาเซ็บเดิร์มบริเวณใบหน้า


สำหรับ อาการของโรคเซ็บเดิร์ม บนใบหน้านั้น มีประกอบกันได้หลายอย่างค่ะ ส่วนใหญ่อาการเริ่มต้นของการเป็นเซ็บเดิร์มบนใบหน้านั้น มักจะเริ่มที่การมีอาคารคัน หรือแสบเมื่อโดนเหงื่อเนื่องจากการอักเสบของผิวหนังบริเวณที่มีผื่นแดง มีขุยขาวๆ คล้ายสะเก็ดคลุมอยู่ตามใบหน้า ไม่ว่าจะเป็นหน้าผาก,แก้ม,คิ้ว,คาง,ร่องจมูก โดยเฉพาะในส่วนที่เราเรียกว่าช่วงทีโซนของใบหน้าซึ่งเป็นบริเวณที่มีต่อมน้ำมันอยู่เป็นจำนวนมาก และผื่นอาจขยายตัวเป็นบริเวณกว้างขึ้นเรื่อยๆ ได้ โดยเฉพาะในรายที่มีอาการรุนแรงและได้สัมผัสกับการกระตุ้นบางอย่าง ไม่ว่าจะจากอากาศที่ร้อนหรือเย็นเกินไป,ความเครียด,การพักผ่อนไม่เพียงพอ,การดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอร์ หรือได้รับสารเคมีและอาหารบางอย่าง


การ รักษา อาการของ โรคเซ็บเดิร์ม ที่เกิดขึ้นบริเวณใบหน้านั้น ในช่วงที่มีอาการกำเริบ เราสามารถใช้แชมพู Ketoconazole shampoo 2% ล้างหน้าแทนสบู่ล้างหน้าได้ค่ะ แต่หากมีอาการหน้าแห้งก็ควรทามอยเจอร์ไรเซอร์เพื่อให้ความชุ่มชื่นแก่ผิวเพิ่มเติม หากไม่ได้แต่งหน้าก็ให้ใช้น้ำเปล่าล้างก็พอแล้วนะคะ ที่สำคัญคือ จะเลือกผลิตภัณฑ์อะไรมาใช้กับผิวหน้าก็ควรเป็นผลิตภัณฑ์ที่ปราศจากแอลกอฮอร์ เนื่องจากจะทำให้ผิวเกิดการระคายเคืองได้ง่าย

ในเคสที่มีผื่นแดง มีขุยและสะเก็ด ให้ใช้ยาทาเพื่อฆ่าเชื้อรา 2% Ketoconazole cream เช่นกันค่ะ โดยทาเช้า-เย็นบริเวณที่เกิดรอยโรค ทาติดต่อกันราว 4 สัปดาห์จนกว่าอาการจะหาย หรืออาจเพิ่มการใช้ยาทาที่มีส่วนผสมของสเตียรอยด์ต่ำ ๆ ในระยะสั้น ๆ จนรอยโรคหาย เพื่อป้องกันผลข้างเคียงจากการใช้ยาสเตียรอยด์เป็นเวลานาน อาทิเช่น การเกิดหลอดเลือดฝอยบนผิวหนัง,ผิวหน้าบาง เกิดสิว (ใช้เป็นชนิด 1% Hydrocortisone)

ที่สำคัญต้องพยายามหาสาเหตุที่มารบกวนผิวหน้าให้เจอ เช่น อาการเครียด,การดื่มหรือกินอาหารบางชนิด,เครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอร์,เครื่องประทินผิวที่มีสารเคมีรุนแรงรบกวนผิว และควรหลับพักผ่อนให้เพียงพอ ทานอาหารที่มีประโยชน์ รวมถึงออกกำลังกายเป็นประจำเพื่อให้ร่างกายแข็งแรง มีภูมิคุ้มกันการกลับมากำเริบของโรคได้ด้วยนะคะ



อ้างอิงข้อมูลจาก mfu.ac.th
ภาพประกอบจาก hardinmd.lib.uiowa.edu/dermnet/seborrheicdermatitis36.html

การรักษาโรคเซ็บเดิร์มที่หนังศรีษะ


สำหรับ โรคเซ็บเดิร์ม (Sebderm) นั้นสามารถที่จะเป็นได้หลายตำแหน่งค่ะ ไม่ว่าจะเกิดอาการที่หนังศรีษะ,ใบหน้า หรือแม้แต่กระทั่งตามลำตัว ดังนั้นแนวทางการรักษาจึงต้องใช้วิธีและตัวยา รวมไปถึงการปฏิบัติตัวที่ต่างกัน แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นเนื่องจากโรคเซ็บเดิร์มนั้น จัดเป็นโรคผิวหนังที่รักษาไม่หายขาดหรือเป็นโรคเรื้อรัง ดังนั้นจุดประสงค์ของการรักษาโรคนี้จึงอยู่ที่การควบคุมอาการของโรค มิให้ลุกลามหรือส่งผลต่อการดำเนินชีวิตปกติในชีวิตประจำวันนั่นเองน่ะนะคะ


เราจะมาเริ่มกันที่การรักษา โรคเซ็บเดิร์ม ที่เกิดขึ้นบริเวณ หนังศรีษะ กันเป็นอันดับแรกค่ะ สำหรับอาการของโรคเซ็บเดิร์มที่หนังศรีษะนั้น เกิดขึ้นได้หลายระดับด้วยกัน ตั้งแต่ระดับที่แสดงอาการเพียงเล็กน้อย เช่น คันศรีษะ มีรังแคซึ่งมีลักษณะเป็นสะเก็ดหรือเป็นรังแคหนา ประกอบกับผื่นแดงและมีสะเก็ดบริเวณไรผม แต่ก็จะไม่ลามเกินไปกว่าไรผม ไปจนถึงการแสดงอาการที่มากขึ้นและรุนแรงขึ้นซึ่งกรณีหลังนี้ควรที่จะต้องรีบไปพบแพทย์เพื่อวินิจฉัยและให้การรักษาเพื่อระงับและควบคุมอาการโดยเร็ว ซึ่งหากอาการของโรคเซ็บเดิร์มที่เกิดขึ้นบริเวณหนังศรีษะไม่ได้รุนแรงมากนัก เราก็สามารถดูแลรักษาและบรรเทาอาการลงได้ด้วยการใช้แชมพูที่มีส่วนผสมของ Ketoconazole Tar,Selenium sulfide และ/หรือ zinc เพื่อลดรังแคที่เกิดขึ้น ซึ่งการสระผมด้วยแชมพูชนิดดังกล่าวข้างต้นนี้ควรใช้ทุกวัน หรือวันเว้นวัน ขึ้นอยู่กับว่า มีอาการรังแคมากน้อยแค่ไหน แต่ขณะสระให้ฟอกแชมพูและทิ้งแชมพูไว้บนหนังศรีษะราว 5-10 นาทีจึงล้างออก หากโรคสงบลง มีอาการรังแค,ผื่นแดง,คัน น้อยลง ก้อาจลดการสระแชมพูยาลง ให้เหลือเพียง 2 ครั้งต่อสัปดาห์ได้ โดยใช้สลับกับแชมพูทั่วไปสูตรขจัดรังแคน่ะนะคะ

ในกรณีที่ผู้ป่วยมีสะเก็ดติดแน่นที่หนังศรีษะ ก่อนสระผม ควรหมักผมด้วยเบบี้ ออย แล้วสวมหมวกคลุมผมพลาสติกสำหรับอาบน้ำคลุมทิ้งไว้ข้ามคืน แล้วจึงสระออก ค่อย ๆ นวดแชมพูจนสะเก็ดหลุดออก แต่ก็ไม่ควรแกะเกาจนทำให้หนังศรีษะเป็นแผล

อีกกรณีหนึ่ง หากตัวผู้ป่วยเองเกิดอาการผื่นแดงอักเสบที่ศรีษะ ก็จะมีการใช้ยาสเตียรอยด์เข้มข้น อาทิเช่น ยา Clobetasol หยอดเฉพาะบริเวณที่เป็นรอยโรค เช้า-เย็น จนกว่ารอยโรคจะหาย (ประมาณ 1-3 สัปดาห์ และควรปรึกษาแพทย์ก่อนทุกครั้ง)  อีกทั้งควรหลีกเลี่ยงการใช้ผลิตภัณฑ์จัดแต่งทรงผมต่าง ๆ เช่น สเปย์จัดแต่งทรงผม หรือยาย้อม,เปลี่ยนสีผม เพื่อไม่ให้หนังศรีษะเกิดการระคายเคืองเพิ่มขึ้นนั่นเองน่ะนะคะ

ในตอนหน้าของบล็อกเซ็บเดิร์ม เราจะมาดูวิธีการรักษาโรคเซ็บเดิร์มบริเวณอื่นกันต่อค่ะ




อ้างอิงข้อมูลจาก haamor.com/th
ภาพประกอบจาก misterious28.blogspot.com




วันพุธที่ 9 เมษายน พ.ศ. 2557

โรคเซ็บเดิร์มรักษาไม่หายแต่สามารถบรรเทาอาการได้


สำหรับผู้ที่กำลังเผชิญกับปัญหา โรคผิวหนังอักเสบของต่อมไขมัน หรือที่เราเรียกกันว่า เซ็บเดิร์ม นั้น คิดว่าคงทุกข์ใจอยู่ไม่น้อยค่ะ เนื่องจากโรคนี้เป็นโรคที่รักษาไม่หาย ทำได้แค่เพียงบรรเทาอาการหรือทำให้โรคสงบลงชั่วคราวนั่นเอง เมื่อพบปัจจัยกระตุ้น อาทิเช่น ร้อนจัด,เย็นจัด,ความเครียด,พักผ่อนไม่เพียงพอ หรือแม้แต่การรับประทานอาหารบางชนิด ก็อาจจะทำให้โรคนี้กำเริบขึ้นมาก่อความรำคาญให้อยู่เรื่อยๆ


ปกติแล้ว โรคเซ็บเดิร์ม นั้น มักจะมีอาการอักเสบของผิวหนังในบริเวณที่มีต่อมไขมันอยู่มาก 4 แห่งด้วยกันค่ะ ได้แก่ บริเวณใบหน้า หน้าอก แผ่นหลัง และหนังศรีษะ สำหรับบริเวณใบหน้ามักจะพบผื่นแดง,เป็นมัน มีสะเก็ดขาวปกคลุมอยู่ หรือมีอาการอักเสบบริเวณเหนือคิ้ว,หนังตา,หน้าผาก,แนวไรผม,ซอกจมูก,รูหู แม้แต่บริเวณเครา,หนวด,หัวหน่าว,ขาหนีบ,รักแร้,ใต้ราวนม รอบสะดือและอวัยวะเพศก็พบมีการอักเสบได้

ในส่วนของหนังศรีษะที่เป็นโรคนี้ จะพบว่ามีลักษณะของแผ่นหนังกำพร้าที่ลอกเป็นขุย หรือที่เราเรีียกกันว่ารังแค ส่วนบริเวณหน้าอก (เป็นรูปตัววี)และแผ่นหลัง ก็จะมีลักษณะเป็นผื่นแดงเป็นมันและมีลักษณะคล้ายคลึงกับบริเวณใบหน้าได้ด้วยเช่นกัน ซึ่งเมื่อไหร่ที่อาการกำเริบ นอกจากสร้างความทุกข์ทรมานให้กับผู้ที่เป็นแล้ว ยังทำให้เสียความมั่นใจในการออกไปพบปะผู้คนอีกด้วย

สำหรับผู้ที่เป็นโรคนี้นั้น แอดมินแนะนำให้ไปปรึกษาแพทย์ค่ะ ซึ่งแพทย์ก็จะมีคำแนะนำในการรักษาตัว รวมไปถึงสั่งจ่ายยาที่เหมาะสำหรับการรักษามาให้ โดยจะจ่ายยาให้เหมาะกับบริเวณพื้นที่ที่เป็นเพื่อให้เราสามารถอยู่ร่วมกับโรคนี้ได้โดยไม่แสดงอาการออกมาบ่อยนัก

ในตอนหน้าของบล็อกเซ็บเดิร์ม เราจะมาดูวิธีการรักษาโรคนี้ในบริเวณแต่ละแห่งของร่างกายกันนะคะ



อ้างอิงข้อมูลจาก  mfu.ac.th
ภาพประกอบจาก rosaceagroup.org